Netflix ตกเป็นข่าวว่ากำลังพยายามควบคุมค่าตัวนักแสดงซีรีส์เกาหลีที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 12 กันยายน สื่อเกาหลีอย่าง OSEN ได้รายงานว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ได้วางเพดานค่าตัวนักแสดงไว้ที่ประมาณ 300 ล้านวอน หรือราว 6.9 ล้านบาทต่อตอน สำหรับโปรดักชั่นที่ผลิตโดย Netflix เพื่อควบคุมต้นทุนที่บานปลาย
แหล่งข่าวในวงการเปิดเผยว่า “มีแนวโน้มว่า Netflix กำลังกำหนดเพดานค่าตัวนักแสดงโดยลดลงจนอยู่ที่ 300 ล้านวอน” ขณะที่อีกคนเสริมว่า “ค่าตัวนักแสดงในโปรดักชั่นของ Netflix พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้เริ่มเห็นการชะลอตัวแล้ว”
แม้ Netflix จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้คอนเทนต์เกาหลีโด่งดังไปทั่วโลก แต่ในอุตสาหกรรมกลับมีเสียงวิจารณ์ว่า แพลตฟอร์มนี้มีส่วนทำให้เกิด “ฟองสบู่ค่าตัว” และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมาก เช่น ซีรีส์ When Life Gives You Tangerines ที่ใช้งบประมาณสูงถึง 43.2 ล้านดอลลาร์ (1,300 ล้านบาท) และ Squid Game ที่ใช้งบกว่า 72 ล้านดอลลาร์ (2,200 ล้านบาท) ตัวเลขที่ไม่เคยเกิดขึ้นในตลาดเกาหลีมาก่อน สิ่งนี้นำไปสู่การเรียกร้องค่าตัวที่สูงลิ่วจากนักแสดง และทำให้จำนวนของซีรีส์ที่ผลิตลดลงอย่างชัดเจน จาก 141 เรื่องในปี 2022 เหลือเพียงราว 80 เรื่องในปีนี้เท่านั้น
ประเด็นนี้ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ หลังมีรายงานว่า อีจองแจ (Lee Jung Jae) ได้รับค่าตัวสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์ (31 ล้านบาท) ต่อตอนใน Squid Game ซีซั่น 2 แม้เจ้าตัวจะออกมาบอกว่าเป็น “ความเข้าใจผิด” แต่ก็ยอมรับว่าค่าตัวที่ได้รับนั้น “สูงมาก”
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้บริหาร Netflix เคยส่งสัญญาณปรับทิศทาง โดยระบุว่าต้นทุนที่สูงเกินไปอาจ “ย้อนกลับมาสร้างปัญหา” และบริษัทกำลังพิจารณาการจ่ายค่าตัวนักแสดงให้เหมาะสมภายใต้งบประมาณที่สมเหตุสมผล
หลังจากกระแสข่าวล่าสุดเผยแพร่ออกไป ทางด้านของ Netflix ก็ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้มี “การกำหนดเพดานแบบตายตัว” โดยชี้แจงว่า “เราต่อรองกับพาร์ตเนอร์อย่างยืดหยุ่น โดยพิจารณาจากลักษณะของโปรเจกต์ บทบาท และระยะเวลาการผลิต” นั่นหมายถึงกลยุทธ์ใหม่ที่มุ่งไปสู่การจัดสรรงบประมาณแบบเจาะจงรายโปรเจกต์ มากกว่าการจำกัดค่าตัวแบบเบ็ดเสร็จ อีกทั้งยังมีรายงานว่าอาจมีข้อยกเว้น โดยเฉพาะกับซีรีส์ฮิตที่ทำภาคต่อด้วย
ที่มา (1)