ซีรีส์แอกชั่นแต่กลับสะเทือนจิตใจเมื่อเรื่องแต่งสะท้อนโศกนาฏกรรมจริง — “Trigger” ของ Netflix จริงเกินกว่าจะเป็นแค่ละคร
Trigger คนดุปืนเดือด ซีรีส์แนวแอ็กชันดราม่าที่เล่าถึงภัยจากอาวุธปืน ซึ่งออกฉายทาง Netflix เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อเนื้อหาสอดคล้องกับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นจริงในเกาหลีเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น
Trigger เล่าเรื่องของชายสองคนที่ตัดสินใจจับอาวุธขึ้นมา ด้วยเหตุผลส่วนตัว ท่ามกลางเหตุการณ์ความรุนแรงจากอาวุธปืนที่ถาโถมอย่างต่อเนื่อง และการลักลอบขนอาวุธปืนผิดกฎหมายจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มา — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเกาหลี ประเทศที่ทั่วโลกมองว่า “ปลอดจากปืน”
ความบังเอิญที่ไม่คาดคิดคือ ซีรีส์เปิดตัวเพียงไม่กี่วันหลังเกิดเหตุกราดยิงอันน่าตกใจในเกาหลี เมื่อชายวัย 60 ปี ใช้ปืนทำเองยิงลูกชายของตัวเองเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ทำให้เนื้อหาใน Trigger กลายเป็นประเด็นร้อนที่ “จริงเกินคาด” และไม่อาจถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องแต่งอีกต่อไป
คิมนัมกิล นักแสดงนำของเรื่อง กล่าวถึงเหตุการณ์จริงว่าเขารู้สึกตกใจและเสียใจอย่างมากต่อผู้เคราะห์ร้าย
“ผมรู้เรื่องนี้จากข่าว และเนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด ก็เลยพูดอะไรชัดเจนมากไม่ได้ แต่แค่รู้ว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ ผมก็ตกใจมากแล้ว ผมเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดแค่ในต่างประเทศ”
“เมื่อมีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้น มุมมองของผมที่มีต่อซีรีส์เรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป มันทำให้ผมรู้สึกหนักใจและต้องระวังมากขึ้นในการทำงานชิ้นนี้”
ในซีรีส์ คิมนัมกิลรับบท อีโด อดีตพลซุ่มยิงทหารที่กลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาเคยเชื่อว่าความสงบสุขสามารถรักษาไว้ได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหันกลับมาใช้ปืนอีกครั้งเพื่อปกป้องผู้คน
เขาอธิบายถึงตัวละครว่า
“เขาเคยเป็นทหารที่ต่อสู้ในสมรภูมิ แต่ตอนนี้ไม่อยากใช้ปืนอีกแล้ว เขาเป็นตำรวจที่เชื่อในสันติภาพโดยไม่ต้องพึ่งอาวุธ ทว่าเพื่อช่วยเหลือผู้คน เขากลับต้องหยิบปืนขึ้นมาอีกครั้ง”
“Trigger” กระจกสะท้อนบาดแผลสังคมเกาหลีที่ถูกซ่อนไว้
ซีรีส์ Trigger เจาะลึกประเด็นปัญหาสังคมที่ฝังรากลึก — สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดที่ไม่ได้มีแค่ในเกาหลี แต่ใกล้ตัวเราทุกคน
ในแต่ละตอน ซีรีส์นำเสนอเรื่องราวของผู้คนที่ตัดสินใจจับอาวุธขึ้นมาเพราะแรงจูงใจส่วนตัว:
– แม่ที่ต้องการทวงความยุติธรรมให้ลูกชายที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในที่ทำงาน อันเกิดจากการถูกบริษัทเอารัดเอาเปรียบอย่างรุนแรง
– ชายผู้จมอยู่ในความสิ้นหวัง จากการถูกดูแคลนและละเลยในห้องพักรวมอันแออัด
– เด็กนักเรียนที่ขาดผู้ใหญ่คอยสนับสนุน ต้องเผชิญกับความรุนแรงในโรงเรียนจนคิดสั้น
– พ่อที่สูญเสียลูกสาวจากการฆ่าตัวตาย และต้องเผชิญความเจ็บปวดจากการถูกโกงเงินเก็บทั้งชีวิต
ด้วยเหตุนี้ Trigger จึงเป็นซีรีส์ที่ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามกับความจริงที่ต้องเผชิญ — ทั้งในแง่ความเห็นอกเห็นใจหรือความโกรธเคืองต่อระบบที่ผิดพลาด
ทันทีที่ออกอากาศ ซีรีส์ขึ้นอันดับหนึ่งในหมวดละครทีวีของ Netflix เกาหลี และกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้ชม โดยในวันอังคารที่ผ่านมา Trigger ติดอันดับ 1 ใน 5 ประเทศ ได้แก่ เกาหลี, สิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตามรายงานของ FlixPatrol
คิมนัมกิล ย้ำว่า เขาไม่เคยมองซีรีส์เรื่องนี้ว่าเป็นงานสบายๆ
“ประชากรเกาหลีครึ่งหนึ่งมีทักษะใช้อาวุธปืนจากการเกณฑ์ทหาร ผมอยากให้ผู้ชมต่างชาติเข้าใจว่าคนเกาหลีมีทักษะใช้อาวุธอย่างเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่แค่ลั่นไกเฉยๆ เพื่อให้พวกเขายอมรับเนื้อหาได้ง่ายขึ้น”
เขายังกล่าวถึงความกังวลว่า คนในประเทศอื่นที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงคล้ายกันในชีวิตจริง อาจมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อซีรีส์นี้
“ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าข้อความที่เราส่งออกไป มันเหมาะสมไหมสำหรับประเทศที่กำลังเผชิญความเจ็บปวดคล้ายกัน”
เขาย้ำว่า Trigger ไม่ใช่เรื่องของ “ปืน” — แต่คือเรื่องของ “คน”
“ปืนเป็นเพียงเครื่องมือที่สะท้อนความต้องการ ความโกรธ และปัญหาอุดมการณ์ในสังคม มันคือเรื่องของ ‘เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร’ — เราจะมีความเข้าใจ เห็นใจ และประนีประนอมกันได้แค่ไหน หากสังคมละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เราก็จะอยู่กันในนรกบนดิน”
คิมนัมกิลยังเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับภาพการล้างแค้นส่วนตัวด้วยอาวุธปืนที่ปรากฏในซีรีส์
“โครงสร้างของเรื่องทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจตัวละครที่ใช้ปืนใช่ไหมครับ? เพราะปืนตกไปอยู่ในมือของคนที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอในสังคม ผมไม่อยากให้มันถูกเข้าใจว่า ‘นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคนอ่อนแอมีปืน’ ผมอยากพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าเขาจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอก็ตาม”
คิมนัมกิล เขามีประสบการณ์มากมายจากบทแอ็กชันใน The Fiery Priest และ The Pirates เขาย้ำว่า เขาออกแบบฉากแอ็กชันในซีรีส์ Trigger อย่างพิถีพิถัน โดยเน้น “ความยับยั้งชั่งใจ” เป็นหลัก
“เพราะเป็นผลงานที่ฉายทาง Netflix เราจึงมีอิสระในการถ่ายทอดฉากแอ็กชันที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติอย่างตรงไปตรงมา แต่ในฐานะที่ผมมีจุดยืนต่อต้านการใช้ปืน ผมตั้งใจถ่ายทอดฉากต่อสู้ให้ดูมีการยับยั้งและอยู่ในเชิงป้องกันมากกว่า ผมรับบทนี้ด้วยความคิดว่า มันไม่ควรดูเหมือนการล้างแค้นส่วนตัวที่ใช้อาวุธปืนในการกำจัดคนเลว”
เมื่อถูกถามว่าเขามองตัวเองเป็น “คนยุติธรรมหรือไม่” นักแสดงหนุ่มวัย 45 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรไม่แสวงผลกำไรด้านศิลปวัฒนธรรม Gilstory มานานกว่า 10 ปี ก็เผยว่า ประสบการณ์ทำงานร่วมกับกลุ่มพลเมืองมาตลอด ทำให้เขาตั้งคำถามกับความหมายที่แท้จริงของการ “อยู่ร่วมกันอย่างดีในฐานะมนุษย์”
“เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดของผู้คนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งที่เคยถูก ก็อาจกลายเป็นผิด และสิ่งที่เคยผิด ก็อาจกลายเป็นถูก แม้เราควรปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ผมก็ยังคิดอยู่เสมอว่า ‘แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์’ ควรจะคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง”