‘I Am a Running Mate’ เปลี่ยนการหาเสียงให้เหมือนการแข่งขันกีฬา ไม่ใช่การต่อสู้ทางอุดมการณ์
ฮันจินวอน นักเขียนบทจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์ “Parasite” เปิดตัวในฐานะผู้กำกับอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับซีรีส์ “I Am a Running Mate” ทาง Tving
นักเขียนวัย 39 ปี ผู้คว้ารางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมร่วมกับผู้กำกับบงจุนโฮเมื่อปี 2020 เริ่มต้นโปรเจกต์ใหม่นี้ในฐานะนักเขียนบท แต่ต่อมาก็เกิดความปรารถนาที่จะกำกับเอง
“ตอนแรกผมไม่ได้ถูกจ้างให้มากำกับ แต่พอเขียนไปเรื่อย ๆ ผมก็เริ่มมีความทะเยอทะยานมากขึ้น เลยพูดว่าผมอยากกำกับเอง บทนี้ไม่ใช่แค่สคริปต์ที่เขียนส่งต่อไปเฉย ๆ แต่มันเป็นบทที่มีวิสัยทัศน์ของผู้กำกับแฝงอยู่ด้วย ผมถึงขั้นจดรายละเอียดการเคลื่อนกล้องไว้เลย”
ฮันจินวอน กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับ The Korea Times ที่กรุงโซล เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
“ความผูกพันกับงานชิ้นนี้เลยค่อย ๆ เติบโตขึ้น และเมื่อบทที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่สิบปีก่อนเริ่มได้รับการพัฒนา ผมก็รู้สึกโหยหาการได้กำกับงานของตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เป็นโปรเจกต์ที่ผมผลักดันเองตั้งแต่ต้น ผมรู้สึกประหม่าเป็นพิเศษ”
ซีรีส์เรื่องนี้นำแสดงโดยนักแสดงรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง และปล่อยออกมาทั้งหมดในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นซีรีส์ดราม่าวัยรุ่นแนวการเมืองที่สดใส เล่าเรื่องของเซฮุน (รับบทโดย ยุนฮยอนซู (Yoon Hyun-soo) ที่กลายเป็นตัวตลกของโรงเรียนหลังจากเหตุการณ์น่าอับอาย แต่แล้วก็ถูกเสนอชื่อให้ลงสมัครเป็นรองประธานสภานักเรียน
เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกับการเดินทางของเขาในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและกลยุทธ์ต่าง ๆ บนเส้นทางสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง
ในการหาเสียง นักเรียนสองกลุ่มที่สวมเสื้อแดงและน้ำเงินเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด หนึ่งฝ่ายเรียกร้อง “การรักษาขนบธรรมเนียม” ขณะที่อีกฝ่ายเรียกร้อง “การสร้างสรรค์สิ่งใหม่” เมื่อการเลือกตั้งร้อนแรงขึ้น ก็เกิดการแบ่งฝ่าย มีการทำลายป้ายหาเสียง การโจมตีส่วนตัว ข่าวลือ และข่าวปลอมที่แพร่สะพัด ทำให้การเมืองในโรงเรียนกลายเป็นสนามรบทางอารมณ์
ซีรีส์สะท้อนแง่มุมของการเมืองในโลกจริงผ่านมุมมองของชีวิตในโรงเรียน
“มีประโยคหนึ่งในเสียงบรรยายว่า ‘โรงเรียนคือภาพจำลองของสังคมจริง’ ความจริงแล้ว อำนาจมันเกิดขึ้นได้แม้จะมีแค่คนสองคนรวมตัวกันใช่ไหม? มักจะมีคนที่เสียงดังกว่า และมีคนที่เดินตาม ผมเลยอยากเล่าเรื่องของอำนาจและการใช้อำนาจ โดยใช้โรงเรียนเป็นฉากหลัง”
ฮันจินวอนกล่าว
“เรื่องอย่างการกลั่นแกล้งในโรงเรียนหรือการถูกกันออกไปอยู่ข้างนอก มันคือความรุนแรงอย่างหนึ่งที่ชัดเจนและเจ็บแสบ แต่ผมอยากลองนำเสนอในวิธีที่ต่างออกไป ไม่ใช่แอ็กชัน แต่เป็นมุมที่สะท้อนอำนาจและอิทธิพลแบบเงียบ ๆ”
อิทธิพลจากบงจุนโฮ
ฮันจินวอนเล่าว่าหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่ได้จากบงจุนโฮคือวิธีจัดการกับประเด็นหนัก ๆ ด้วยมุมมองที่เบาแต่แหลมคม
“ในงานของบงจุนโฮ ต่อให้บรรยากาศจะจริงจังหรือหนักหน่วงแค่ไหน เขาก็จะสอดแทรกมุกตลกแปลก ๆ หรือตลกร่างกาย หรือใช้การตัดต่อเร็ว-ช้าแบบไม่คาดคิดเพื่อทำลายความตึงเครียดลง นั่นคือบางอย่างที่ผมได้รับอิทธิพลมา”
“อย่างเช่น การตัดสายอารมณ์อย่างเฉียบพลันแล้วค่อยกลับมาอีกที ผมลองเลียนแบบดู และคิดว่าองค์ประกอบพวกนี้น่าจะซึมซับอยู่ในผลงานของผมอย่างแนบเนียน”
แทนที่จะนำเสนอการหาเสียงแบบการต่อสู้ทางอุดมการณ์อย่างเคร่งเครียด ฮันจินวอนต้องการให้ซีรีส์นี้มีพลังแบบเดียวกับละครกีฬามากกว่า
“มันเหมือนกีฬา เป็นสิ่งที่เราทำเพื่อพัฒนาตัวเองเพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี ผมพยายามจับอารมณ์แบบนั้นให้ได้ หวังว่าคนดูจะรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาและสนุกสนาน ผมรู้สึกดีใจมากตอนที่แฟนต่างชาติบอกว่า ซีรีส์เรื่องนี้ ‘น่าตื่นเต้น’ แทนที่จะพูดว่า ‘อ้อ การเมืองเกาหลีเป็นแบบนี้เอง’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนมักคิดว่าการเมืองและการเลือกตั้งเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่มันไม่ใช่เลย” ฮันจินวอนอธิบาย
หนึ่งในประโยคโปรดของฮันจินวอนในซีรีส์ไม่ได้มาจากตัวเอกด้วยซ้ำ แต่เป็นคำพูดของตัวละครเล็ก ๆ ชื่อแจวอนว่า
“ไม่ว่าสถานการณ์มันจะพังขนาดไหน ถ้ามีใครสักคนทำตัวพังเกินไป ทุกอย่างก็จะพังจริง ๆ”
ฮันจินวอนบอกว่าเขาหวังให้ประโยคนี้อยู่ในใจคนดูไปอีกนาน และมันยังเป็นสิ่งที่เขาบอกกับตัวเองบ่อย ๆ ด้วย
“เวลาคุณอยู่คนเดียว อยู่ในหัวของตัวเอง แค่เขียน ๆ ทำงานไป คุณอาจกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ง่ายมาก ผมก็เคยเป็นแบบนั้น ไม่เจอผู้คน ไม่สุงสิงกับใคร แล้วก็กลายเป็นคนที่สร้างปัญหาให้คนรอบตัว ดังนั้นใช่เลย ผมเคยเป็นคนที่ทำตัวแย่ตอนที่สถานการณ์แย่ แล้วทุกอย่างมันก็พังลงจริง ๆ”
เขาตั้งใจมอบประโยคที่ตรงและลึกซึ้งนี้ให้กับตัวละครรอง ไม่ใช่ตัวเอก
“ผมอยากแสดงให้เห็นว่าข้อความดี ๆ ไม่จำเป็นต้องมาจากคนที่มีการศึกษาหรือพูดภาษาสวยหรูเสมอไป แจวอนเป็นคนที่ดูห่างไกลจากความเป็นนักเรียนมากที่สุดในเรื่อง แต่เป็นคนที่พูดประโยคนี้ ผมอยากจะสื่อว่าความคิดดี ๆ จริง ๆ คือสิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้ด้วยใจและสมอง ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาให้สละสลวยก็ได้”
แม้การทำทั้งหน้าที่เขียนบทและกำกับจะหนักและต้องใช้พลังมาก แต่ฮันจินวอนบอกว่าเขาไม่มีแผนจะเลือกทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
“บางทีการเป็นนักเขียนบทเต็มเวลาคงได้เงินมากกว่า แต่มันไม่เหมือนกันนะ แทนที่จะเขียนแล้วอยู่เฉย ๆ ข้างสนาม การได้กำกับและสร้างผลงานในชื่อของตัวเอง มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
ฮันจินวอนกล่าวปิดท้าย