ซีรีส์ออริจินัลจาก Wavve เรื่อง “S Line” ที่เพิ่งลาจอไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากทันทีหลังเปิดตัว ด้วยพล็อตเรื่องชวนตื่นตา โลกที่ผู้คนซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกันจะถูกเชื่อมโยงด้วยเส้นสีแดงให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า
ซีรีส์จำนวน 6 ตอน นำแสดงโดย อีซูฮยอก (Lee Soo-hyuk), อีดาฮี (Lee Da-hee) และอาริน (Arin) สมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป Oh My Girl ถ่ายทอดความขัดแย้งและแรงปรารถนาของผู้คน หลังจากมีการคิดค้นแว่นตาพิเศษที่ทำให้ผู้สวมใส่มองเห็นเส้นลับเหล่านี้ เกิดเป็นความวุ่นวายระดับสังคม
“การมองเห็นเส้นสีแดง หรือที่เรียกว่า S Line ในเรื่อง เป็นการขยายแนวคิดจากความอยากรู้อยากเห็นในชีวิตส่วนตัวของผู้อื่น คล้ายเวลาที่เราดูทีวี ทุกคนอยากรู้ แต่ไม่มีใครอยากถูกเปิดเผย” ผู้กำกับ อันจูยอง กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ The Korea Times ณ สำนักงานใหญ่ของ Wavve ในยออีโด ทางตอนใต้ของกรุงโซล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ในเรื่อง ตัวละคร “ฮยอนฮึบ” ที่รับบทโดย อาริน เป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษในการมองเห็นเส้นแดงนี้ตั้งแต่แรก หลังจากแว่นตาพิเศษถูกเผยแพร่ คนที่ได้ครอบครองมันก็เริ่มรู้สึกว่าตนมีอำนาจเหนือผู้อื่น และใช้แว่นเพื่อตอบสนองความปรารถนาในจิตใจ ก่อนจะเผชิญกับผลลัพธ์อันเลวร้ายในที่สุด
อันจูยองกล่าวว่า เธอสร้างซีรีส์นี้ในลักษณะของ “ภาคก่อนเหตุการณ์ในเว็บตูนต้นฉบับ” เพื่อขยายจักรวาลของเรื่องให้กว้างขึ้น
“ฉันเริ่มโปรเจกต์นี้เพราะชอบเว็บตูนต้นฉบับมาก แต่คิดว่าน่าจะยากที่จะถ่ายทอดภาพของโลกที่ทุกคนมองเห็น S Line ได้ ฉันจึงเลือกนำเสนอในแบบภาคก่อนที่มีแค่บางคนเท่านั้นที่มองเห็น”
“ฉันยังคิดว่ามันจะน่าสนใจถ้า ‘สื่อกลาง’ อย่างแว่นตานั้นสามารถเปลี่ยนมือจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ ดังนั้นฉันจึงทำงานกับแนวคิดนี้ และตั้งแต่แรกก็ตั้งใจให้เรื่องจบลงด้วยโลกที่ทุกคนสามารถมองเห็น S Line ได้เหมือนในต้นฉบับ ฉันจึงเน้นการถ่ายทอดการเดินทางไปสู่จุดนั้น”
ความสัมพันธ์ทางเพศในฐานะ ‘MacGuffin’
แม้เนื้อหาของซีรีส์ที่เกี่ยวกับเพศและการเชื่อมโยงผู้คนผ่านความสัมพันธ์ทางเพศจะดูยั่วยุ ผู้กำกับยืนยันว่าเธอต้องการใช้มันเป็นเพียงกลวิธีในการเล่าเรื่องเท่านั้น เพื่อสำรวจธรรมชาติด้านลึกของมนุษย์
“จะบอกว่าไม่ยั่วยุก็คงไม่ใช่ แต่มันก็เหมือนในต้นฉบับ ที่เพศเป็นเพียง ‘MacGuffin’ (สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง) ฉันอยากใช้สิ่งนี้เปิดเผยแง่มุมต่าง ๆ ของมนุษย์ แทนที่จะมุ่งสู่ความสมจริงโดยสิ้นเชิง ฉันกลับมองว่ามันน่าสนใจที่จะใช้สถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ มาถ่ายทอดธรรมชาติของมนุษย์หลากหลายรูปแบบ”
ซีรีส์ได้รับคำชมจากการนำเสนอความลับ แรงปรารถนา และความหน้าซื่อใจคดของตัวละครแต่ละตัวผ่าน “เพศ” ในฐานะสื่อกลาง โดยนำเสนอประเด็นเข้มข้น เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครู, ความรุนแรงในความสัมพันธ์, การแก้แค้นด้วยคลิปหลุด, การล่วงละเมิดทางเพศในครอบครัว และการนอกใจ
ผู้กำกับยังกล่าวถึงตัวละครครูลึกลับ “คยูจิน” (รับบทโดย อีดาฮี (Lee Da-hee) ว่าเธอมองเขาเป็น “งูในสวนอีเดน”
“แทนที่จะมองว่าเธอเป็นวายร้ายธรรมดา ฉันเปรียบเธอเหมือนงูในสวนอีเดนที่ยื่นแอปเปิลให้มนุษย์ เธอไม่ได้เป็นแค่ ‘คนเลว’ หรือ ‘ปีศาจ’ แต่เป็นเหมือนตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ที่มอบทางเลือกและให้มนุษย์ตัดสินใจเอง”
“ท้ายที่สุด ฉันจินตนาการว่า S Line เกิดขึ้นจากแรงปรารถนาอันสะสมของผู้คนที่อยากมองเห็นมัน จนมันก่อตัวขึ้นจริง”
อันจูยองยังให้ความสำคัญกับการแสดงภาพของ S Line บนหน้าจอทีวี โดยหนึ่งในฉากที่โดดเด่นคือฉากของตัวละคร “จีอุค” (รับบทโดย อีซูฮยอก (Lee Soo-hyuk) ซึ่งมีเส้นแดงจำนวนมากแตกออกจากตัวจนน่าตื่นตา จุดกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย มีผู้คนกว่า 230,000 รายโพสต์ภาพและวิดีโอของตัวเองที่ตัดต่อใส่เส้น S Line สีแดงตามกระแส
“เราทำงานร่วมกับทีมกราฟิกอย่างใกล้ชิด ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งนานกว่าการตัดต่อซีรีส์ทั่วไปมาก” เธอกล่าว
“เราปรับพื้นผิวและโทนสีของเส้น S Line ตลอด หากมันดูเหมือนเลเซอร์มากเกินไปก็จะดูห่างเหิน แต่ถ้าแมตต์เกินไปมันก็จะกลืนหายไปกับฉาก เราทดลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้งกว่าจะได้พื้นผิวที่เหมาะสม”
นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม S Line ก็ได้รับความนิยมถล่มทลาย ขึ้นอันดับ 1 ในหมวดซีรีส์ที่สามารถดึงดูดผู้สมัครสมาชิกใหม่ของ Wavve ติดต่อกันนานถึง 14 วัน และยังคว้ารางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมจากเทศกาล Cannes International Series Festival ปีนี้อีกด้วย
แม้ว่าซีรีส์จะได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากแนวคิดสดใหม่และองค์ประกอบแฟนตาซีระทึกขวัญที่ยังคงยึดโยงกับความสมจริงจนถึงตอนที่ 5 แต่ผู้ชมบางส่วนกลับรู้สึกไม่แน่ใจกับตอนจบที่เปลี่ยนโทนไปในแบบเหนือจริง
อันจูยองยอมรับว่าเธอคาดเดาไว้บ้าง แต่ดูเหมือนว่าผู้ชมจะสับสนมากกว่าที่เธอคิด
“ฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องปิดเรื่องให้จบในตอนสุดท้าย ตอนที่สร้างมัน ฉันคิดว่าตัวเองได้ใส่คำอธิบายและองค์ประกอบของเรื่องไว้ครบแล้ว แต่ดูเหมือนว่าผู้ชมจะรู้สึกว่าทุกอย่างจบเร็วเกินไป”