Squid Game กลายเป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลของ Netflix และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้ารางวัลสำคัญ ๆ รวมถึงในงาน Emmy Awards ครั้งที่ 74 ซีซันแรกทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรมไว้อย่างชัดเจน ขณะที่ Squid Game 2 ก็เปิดตัวอย่างถล่มทลาย ทะยานขึ้นสู่อันดับ 3 ของซีรีส์ที่มีผู้ชมสูงสุดตลอดกาลของ Netflix ภายในเวลาเพียง 18 วันนับจากวันเปิดตัว และในปีนี้ ห้าปีหลังจากซีซั่นแรก ผู้กำกับฮวังดงฮยอกก็กลับมาพร้อม Squid Game 3 ที่เจาะลึกไปถึงแก่นแท้ของสภาพมนุษย์มากยิ่งขึ้น
ในซีซั่น 3 ซีรีส์ได้สำรวจประเด็นทางจิตวิทยาที่มืดหม่นยิ่งขึ้น โดยใช้ตัวละครเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามว่า
“มนุษยธรรมยังคงอยู่หรือไม่?”,
“คุณค่าของการมีชีวิตคืออะไร?” และ
“เรายังมีแรงใจที่จะปกป้องความหวังหรือเปล่า?”
อย่างไรก็ตาม ตอนจบของซีซั่นนี้กลับสร้างความเห็นที่แตกต่างในหมู่แฟน ๆ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เดิมทีเนื้อเรื่องน่าจะวางไว้ให้จบอย่างมีความหวัง
“ในช่วงต้นของการระดมความคิดสำหรับซีซั่น 2 ผมโน้มเอียงไปหาตอนจบแบบแฮปปี้โดยอัตโนมัติ”
ฮวังดงฮยอกเปิดเผย
“ผมเคยจินตนาการลาง ๆ ว่า กีฮุนกลับเข้าไปในเกมเพื่อทำลายมันจากภายใน ช่วยผู้เล่นบางคนออกมาได้ และสุดท้ายก็ได้กลับไปพบหน้าลูกสาวที่สหรัฐฯ”
แต่เมื่อถึงเวลาลงมือเขียนบทจริงจัง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“ผมต้องหยุดแล้วถามตัวเองว่า ผมอยากเล่าเรื่องอะไรจริง ๆ กันแน่?”
ฮวังดงฮยอกกล่าว
“สุดท้าย ผมก็พบว่าการเดินทางของกีฮุนควรจะจบลงตรงนี้”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าการตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางเรื่องราวนั้นมีรากฐานจากสภาพของโลกที่เปลี่ยนไปหลังจากซีซั่นแรก
“ตอนที่เราสร้างซีซันแรก โลกก็แย่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันแย่ลงกว่าเดิมอีก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น คนธรรมดาใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น สงครามลุกลาม และวิกฤตสภาพอากาศก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ” เขากล่าว
“แต่กลับไม่มีใครที่มีอำนาจหรือเจตจำนงพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ผ่านเรื่องนี้ ผมอยากสะท้อนความจริงนั้นออกมา”
และด้วยเหตุนี้ ตอนจบของเรื่องจึงกลายเป็นโศกนาฏกรรม
“ผมคิดว่ามันเหมาะสมดีที่ Squid Game จะจบด้วยข้อความที่ให้ซองกีฮุน คนธรรมดา พื้น ๆ คนหนึ่งแบกรับหน้าที่และความเสียสละไว้ในยุคสมัยแบบนี้ นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนตอนจบ” ผู้กำกับฮวังดงฮยอกกล่าวปิดท้าย
ที่มา (1)