บทความจาก Hankook Ilbo ล่าสุดได้วิเคราะห์ถึงซีรีส์ “Genie, Make a Wish” ผลงานเรื่องใหม่ของนักเขียนบทชื่อดัง คิมอึนซุก ที่ออกอากาศทาง Netflix โดยชี้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้ทำลาย “ข้อห้ามของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง” ที่เคยมีมานานเกี่ยวกับการโฆษณาแฝง (PPL) อย่างชัดเจน รายงานระบุว่า “ยุคแห่งเขตปลอด PPL” บนแพลตฟอร์มระดับโลกได้สิ้นสุดลงแล้วหลังผ่านมาเกือบเก้าปี สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลี
ซีรีส์ “Genie, Make a Wish” ถูกวิจารณ์ว่าแทรกโฆษณาอย่างเห็นได้ชัดจนรบกวนสมาธิของผู้ชม เพราะบางฉากดูเหมือนจะเบลอเส้นแบ่งระหว่าง “เนื้อเรื่อง” กับ “การขายสินค้า” บทวิเคราะห์ชี้ว่าต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงและการผูกขาดทรัพย์สินทางปัญญา ทำให้ผู้สร้างจำเป็นต้องพึ่งพาการเปิดพื้นที่ให้แบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาโฆษณา — ซึ่งสุดท้ายแล้วต้นทุนเหล่านี้ก็ถูกส่งต่อมาถึงผู้ชมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘Genie’ ของ KT — แค่บังเอิญหรือแฝงนัยอัจฉริยะ?
หนึ่งในฉากที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือช่วงที่นักแสดง “คิมอูบิน” ต้องลดเสียงลำโพงอัจฉริยะของตัวเองในชีวิตจริงขณะซ้อมบทที่บ้าน เพราะทุกครั้งที่เขาพูดประโยค “I’m Genie” ตามบท ลำโพงอัจฉริยะของ KT ซึ่งใช้ชื่อเดียวกันว่า “Genie” ก็ตอบกลับมาทันทีว่า “Yes?”
ในซีรีส์ คิมอูบินรับบทเป็นตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจจากจินนี่ในตะเกียงวิเศษเรื่อง Aladdin ความบังเอิญที่ชื่อของตัวละครตรงกับผลิตภัณฑ์จริงของ KT ทำให้เกิดการเชื่อมโยงที่ขำขันระหว่างโลกแห่งจินตนาการและความเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครของ “ซูจี” ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง ยังมีชื่อว่า “คีกายอง” เมื่อนำมารวมกับชื่อของคิมอูบิน จะพ้องเสียงกับคำว่า “กีกา-จินี่” ซึ่งเป็นชื่อแบรนด์กล่องรับสัญญาณทีวีของ KT พอดี
เมื่อความบังเอิญนี้เกิดขึ้น หลายคนจึงสันนิษฐานว่าเป็นการโฆษณาแบบจงใจ แต่ทาง Netflix ยืนยันว่าผู้ผลิต “ไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียวจาก KT” ขณะที่คิมอึนซุกได้ตั้งชื่อตัวละครด้วยตัวเองทั้งหมด นักวิจารณ์จึงมองว่านี่เป็น “การพลิกมุมความคิดสร้างสรรค์” ที่จงใจเบลอขอบเขตระหว่างความจริงกับจินตนาการอย่างชาญฉลาด

ลูกอมที่ทุกคนกิน — แต่ไม่มีขายจริงในเกาหลี
บทความยังกล่าวถึงแนวโน้มที่บริษัทต่างประเทศเริ่มหันมาลงทุนในโฆษณาแฝงในซีรีส์เกาหลีมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน จากบริษัททั้งหมด 10 แห่งที่ลงโฆษณาใน “Genie, Make a Wish” มีถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นแบรนด์ต่างชาติ เช่น Narwal จากจีน และ Jimmy Choo จากสหราชอาณาจักร
วงในอุตสาหกรรมเปิดเผยว่าสัดส่วนของแบรนด์ต่างประเทศในโฆษณาแฝงของซีรีส์เกาหลีเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอิทธิพลระดับโลกของคอนเทนต์เกาหลีที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ “โกปิโก้” ลูกอมกาแฟจากอินโดนีเซียที่ปรากฏในซีรีส์ฮิตหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Yumi’s Cells, Hometown Cha-Cha-Cha, Little Women, Mine, Vincenzo และอื่น ๆ อีกมากมาย นักแสดงชื่อดังอย่าง คิมโกอึน, คิมซอนโฮ และซงจุงกิ ต่างก็เคยถูกถ่ายทำขณะกินลูกอมแบรนด์เดียวกัน โดยกล้องมักจะซูมให้เห็นอย่างชัดเจน

เมื่อซีรีส์ Vincenzo ออกอากาศในปี 2021 ลูกอมโกปิโก้ ยัง “ไม่มีจำหน่ายในเกาหลี” ด้วยซ้ำ บริษัทตั้งใจเจาะตลาดต่างประเทศผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า “reverse-export advertising” หรือ “โฆษณาแบบส่งออกย้อนกลับ” — ใช้ซีรีส์เกาหลีเป็นช่องทางสื่อสารไปยังผู้ชมทั่วโลกแทนที่จะโฆษณาในประเทศผู้ผลิต
เมื่อ “การส่งออกย้อนกลับ” ให้ผลตรงกันข้าม
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกโฆษณาต่างชาติจะได้รับเสียงตอบรับในทางบวก Hankook Ilbo ยกตัวอย่างกรณีในซีรีส์ True Beauty (ปี 2021) ที่มีฉากตัวละครวัยมัธยมกินบะหมี่หม้อไฟยี่ห้อจีน Zhai Guo ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว “ไม่มีขายในเกาหลี” ในช่วงเวลานั้น

ร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง CU และ GS25 ต่างยืนยันว่าไม่เคยมีการนำเข้าบะหมี่แบรนด์นี้มาวางจำหน่ายในประเทศจริง ผู้ชมจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าฉากดังกล่าว “ไม่สมจริง” และกล่าวหาผู้ผลิตว่าทำซีรีส์เพื่อเอาใจนักลงทุนชาวจีน
นักวิเคราะห์ในวงการระบุว่า แม้การเพิ่มขึ้นของแบรนด์ต่างชาติในโฆษณาแฝงจะสะท้อนถึงพลังของคอนเทนต์เกาหลีในระดับโลก แต่ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมในประเทศได้เช่นกัน
ที่มา koreatimes
เครดิตภาพจากช่อง tVN
