กรณีการใช้ยาเสพติดของยูอาอิน (Yoo Ah-in) และข่าวเสียหายของ คิมซูฮยอน (Kim Soo-hyun) ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อการผลิต
การเติบโตอย่างรวดเร็วของเนื้อหาเกาหลีในระดับโลกได้นำมาซึ่งความสนใจและการลงทุนอย่างล้นหลามในอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความเสี่ยงจาก “นักแสดง” กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้น — ความเสี่ยงที่เกิดจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมของนักแสดงรายบุคคลซึ่งอาจทำให้โปรเจกต์งบประมาณสูงต้องสะดุดหรือถูกยกเลิก
ประเด็นล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงชื่อดังอย่าง ยูอาอิน และ คิมซูฮยอน ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับชะตากรรมของผลงานที่พวกเขาแสดงนำ รวมถึงคำถามว่านักแสดงควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองมากเพียงใด
กรณีของยูอาอินที่กำลังต่อสู้คดีในข้อหาใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวอย่างสำคัญ เขาได้รับการปล่อยตัวภายใต้ทัณฑ์บนในการพิจารณาคดีครั้งที่สองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และภาพยนตร์ที่เขาแสดงได้เริ่มออกฉายอีกครั้ง
ภาพยนตร์เรื่อง “The Match” ของเขาถูกเลื่อนฉายไปราว 2 ปีจากผลการสอบสวน แต่ในที่สุดก็ได้ออกฉายในเดือนมีนาคม แม้การโปรโมตจะลดการปรากฏตัวของยูอาอินลงอย่างชัดเจน ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถทำรายได้ถึงจุดคุ้มทุน และยูอาอินยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงาน Director’s Cut Awards ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้กำกับแห่งเกาหลี สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนระหว่าง “ฝีมือทางการแสดง” กับ “พฤติกรรมส่วนตัว”
อีกหนึ่งภาพยนตร์ของยูอาอินเรื่อง “Hi-Five” ซึ่งถ่ายทำเสร็จตั้งแต่ปี 2021 มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ผู้กำกับ คังฮยองชอล กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเรื่อง “น่าเสียใจ” และ “ไม่ควรเกิดขึ้น” พร้อมเผยว่าขณะเกิดข่าวอื้อฉาว ภาพยนตร์ยังอยู่ในขั้นตอนผลิตหลังการถ่ายทำ และฉากของยูอาอินแทบไม่ได้ถูกตัดออกหรือตกแต่งเพิ่มเติม แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจเดินหน้าเผยแพร่ภาพยนตร์ตามแผนเดิมแม้มีประเด็นวิจารณ์จากสังคม
ในอีกด้านหนึ่ง ความเสี่ยงจากนักแสดงไม่ได้จำกัดแค่คดีอาญา คิมซูฮยอน ก็เผชิญแรงต้านจากสาธารณชนอย่างหนักจากข่าวลือว่าเขาคบหากับนักแสดงหญิงผู้ล่วงลับ คิมแซรน (Kim Sae-ron) ซึ่งเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกระแสคาดเดาว่าความสัมพันธ์อาจเริ่มต้นตั้งแต่เธอยังเป็นผู้เยาว์
กรณีนี้ส่งผลให้ Disney+ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิงตัดสินใจ “ระงับ” การเผยแพร่ซีรีส์ทุนสูงเรื่อง “Knock-Off” ซึ่งคิมซูฮยอนรับบทนำ โดยเดิมทีมีกำหนดออกฉายเดือนเมษายน แต่อนาคตของซีรีส์กลับกลายเป็นสิ่งไม่แน่นอน เนื่องจากแพลตฟอร์มต้องรับมือกับกระแสด้านลบที่มีต่อคิมซูฮยอน เรื่องนี้ยังจุดกระแสกังวลว่าแพลตฟอร์มระดับโลกอาจลังเลที่จะลงทุนในซีรีส์เกาหลี หากนักแสดงมีโอกาสก่อให้เกิดความเสียหายต่อโปรเจกต์
วงการบันเทิงเกาหลีเองก็มีความเห็นแตกออกเป็นสองฝั่งในประเด็นนี้ — บ้างเห็นว่าผลงานที่นักแสดงมีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีอื้อฉาวควรถูกระงับหรือเลื่อนออกไป ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าการหยุดเผยแพร่ซีรีส์หรือภาพยนตร์นั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อทีมงานเบื้องหลังทั้งหมด
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในวงการภาพยนตร์เกาหลีเผยว่า
“การระงับการเผยแพร่ผลงานนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักแสดงนำคนเดียวเท่านั้น”
“ยังมีทั้งเงินทุนจำนวนมหาศาล รวมถึงความทุ่มเทของนักแสดงร่วม, ผู้กำกับ, นักเขียนบท และทีมงานที่ผูกชีวิตไว้กับโปรเจกต์นั้น”
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนเน้นว่าสาธารณชนคาดหวังให้นักแสดงใช้เวลาในการทบทวนตนเองอย่างจริงจังหลังเกิดเรื่องอื้อฉาว และการกลับมามีผลงานอีกครั้งยังคงเป็นเรื่องยากเพราะ ความผิดพลาดในอดีตก็ยังถูกขุดค้นได้ง่ายในโลกออนไลน์
ตัวอย่างเช่น กระแสต่อต้าน ชเวซึงฮยอน (ท็อป (T.O.P) วง BIGBANG) ที่เคยมีคดีเสพกัญชา ให้มาร่วมแสดงในซีซัน 2 ของซีรีส์ “Squid Game” ก็แสดงให้เห็นว่าความผิดพลาดในอดีตสามารถส่งผลกระทบระยะยาวได้
เจ้าหน้าที่อีกคนในวงการชี้ว่า เมื่อค่าตัวของนักแสดงเกาหลีพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก นักแสดงจึงควรมีความรับผิดชอบมากขึ้น
“เมื่อค่าตัวของนักแสดงเกาหลีสูงกว่าญี่ปุ่นแล้ว แพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Netflix อาจลังเลในการร่วมงานกับนักแสดงเกาหลี”
“ค่าตัวของนักแสดงทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับนักแสดง ตัวนักแสดงเองต้องจัดการตัวเองด้วยเช่นกัน”