ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งความจริงอันโหดร้ายของวงการซีรีส์เกาหลี (หลายโปรเจกต์ที่มีนักแสดงระดับท็อปและทุนสร้างสูงกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ซีรีส์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Netflix กลับประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นว่า — ซีรีส์เกาหลี จะอยู่รอดได้หรือไม่ หากไม่มี Netflix?
กระแสซีรีส์ฟอร์มยักษ์ที่ล้มไม่เป็นท่า
แทบไม่มีใครคาดคิดว่า ซีรีส์คัมแบ็กของ ซงจุงกิ (Song Joong-ki) เรื่อง My Youth จะล้มเหลว แต่แม้จะมีการโปรโมตอย่างหนัก ซีรีส์กลับทำเรตติ้งได้เพียง 1% ทางช่อง JTBC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานที่มีเรตติ้งต่ำที่สุดของช่องในปีนี้ นักวิจารณ์ต่างวิจารณ์ว่า “จืดชืด,” “เชย,” และ “ดำเนินเรื่องช้าเกินไปสำหรับผู้ชมยุคใหม่” ขณะที่แฟน ๆ บอกว่าซีรีส์แนว “ฮีลลิ่ง” เริ่มหมดเสน่ห์ไปแล้ว

ในทำนองเดียวกัน ซีรีส์ของ พัคมินยอง (Park Min-young) เรื่อง Confidence Queen ที่ออกอากาศพร้อมกันบน Prime Video ก็ไม่สามารถพาเธอกลับมาสู่จุดรุ่งเรืองในแนวโรแมนติกคอมเมดี้ได้ แม้จะได้รับการโปรโมตในระดับโลก แต่เรตติ้งกลับแตะ 0% และกระแสในต่างประเทศก็ดับวูบอย่างรวดเร็ว หลายรีวิวระบุว่าซีรีส์ “อยู่รอดได้เพียงเพราะพลังชื่อเสียงของพัคมินยองเท่านั้น”

ขณะเดียวกัน ซีรีส์ฟอร์มใหญ่ของ Disney+ เรื่อง Tempest ก็เผชิญเสียงวิจารณ์ยับเยิน ถูกเรียกว่าเป็น “หายนะไร้จิตวิญญาณ” และมีตอนจบที่ “น่าผิดหวังที่สุดแห่งปี” กระแสตีกลับอย่างรุนแรงจนเกิดการคาดเดาว่า Disney+ อาจพิจารณาลดขนาดการดำเนินงานในเกาหลีลง

ที่น่าสังเกตคือ ในบรรดา 10 อันดับซีรีส์เกาหลีที่ล้มเหลวที่สุดในช่วงต้นปี 2025 เกือบทั้งหมดออกอากาศบนช่องหรือแพลตฟอร์มที่ ไม่มีความเชื่อมโยงกับ Netflix แม้จะมีงบสร้างมหาศาลและรวมนักแสดงชื่อดัง แต่ก็ไม่สามารถดึงความสนใจจากผู้ชมได้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า “ชื่อเสียงและการตลาดจัดเต็ม” ไม่เพียงพออีกต่อไป
ซีรีส์ที่ได้รับการหนุนหลังจาก Netflix กลับประสบความสำเร็จ
ในขณะที่สถานีโทรทัศน์ดั้งเดิมต้องดิ้นรน ซีรีส์ที่มี Netflix หนุนหลัง กลับทำผลงานได้ยอดเยี่ยม
When Life Gives You Tangerines ที่นำแสดงโดย พัคโบกอม (Park Bo-gum) กลายเป็นกระแสระดับโลก ส่วน Mercy for None ก็ทะยานขึ้นติด Top 10 ซีรีส์ยอดนิยมในกว่า 15 ประเทศ

แม้แต่ซีรีส์ที่ไม่ใช่ “Netflix Originals” โดยตรง เช่น Bon Appétit, Your Majesty (SBS) และ Queen Mantis (tvN) ก็ได้รับอานิสงส์จากการที่ Netflix ซื้อสิทธิ์เผยแพร่ทั่วโลก ส่งผลให้เรตติ้งในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ชัดเจนว่าในปี 2025 สถานีโทรทัศน์ที่ร่วมมือกับ Netflix คือผู้ที่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้ง tvN และ SBS ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเรตติ้งระดับประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการร่วมผลิตและการออกอากาศพร้อมกันทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มของ Netflix
ในทางตรงกันข้าม ช่องที่เลือกออกอากาศเฉพาะในประเทศ หรือร่วมมือกับแพลตฟอร์มขนาดเล็ก กำลังประสบปัญหาในการรักษาความนิยม
เหตุผลที่ Netflix ยังคงชนะในเกาหลี
อำนาจของ Netflix ไม่ได้มาจาก “เงิน” เพียงอย่างเดียว แต่มาจาก “ขอบเขตและความยืดหยุ่น” ด้วย ด้วยระบบซับไตเติ้ลหลายภาษา การออกอากาศพร้อมกันในกว่า 190 ประเทศ และการตลาดขนาดมหึมา แพลตฟอร์มนี้สามารถเปลี่ยนซีรีส์ทุกเรื่องให้กลายเป็น “เหตุการณ์ระดับโลก” ได้
ช่องอย่าง tvN และ SBS มองเห็นศักยภาพนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเริ่มจับมือกับ Netflix อย่างมีกลยุทธ์ ในขณะที่ช่องอื่นยังลังเลและค่อย ๆ ถูกทิ้งห่าง

อีกปัจจัยสำคัญคือ อิสระทางเนื้อหาและความหลากหลายของแนวเรื่อง ซีรีส์ของ Netflix ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรแมนติกหรือดราม่าเท่านั้น แต่ยังกล้านำเสนอเรื่องราวที่เข้มข้นและเสี่ยงมากกว่า เช่น อาชญากรรม, การเอาชีวิตรอด, แฟนตาซี และจิตวิทยาระทึกขวัญ ความสำเร็จของซีรีส์อย่าง Sweet Home, Squid Game, และ Mask Girl พิสูจน์แล้วว่า “เรื่องราวที่แตกต่างจากสูตรสำเร็จ” ก็สามารถโด่งดังไปทั่วโลกได้
ในทางกลับกัน แพลตฟอร์มอย่าง Prime Video และ Disney+ ยังคงพยายามจับทาง “ดีเอ็นเอของซีรีส์เกาหลี” แต่ไม่สำเร็จ โดยเฉพาะ Disney ที่มุ่งเน้นแนวแอ็กชันหรือการเมือง แม้จะมีนักแสดงดัง แต่กลับไม่สอดคล้องกับ “อารมณ์และความหลากหลายของแนวเรื่อง” ที่ผู้ชมเกาหลีชื่นชอบ
จุดจบของยุค “นักแสดงดัง = เรตติ้งสูง”
ปี 2025 ทำให้ความจริงหนึ่งชัดเจนขึ้นอย่างเจ็บปวด — ชื่อเสียงไม่สามารถกู้บทที่อ่อนแอได้อีกต่อไป นักแสดงอย่าง ซงจุงกิ และ พัคมินยอง ยังคงเป็นที่รักของแฟน ๆ แต่ผู้ชมยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ บทที่แข็งแรงและนักแสดงหน้าใหม่ที่มีเสน่ห์ มากกว่าการรีไซเคิลสูตรเดิม ๆ
ในยุคที่ผู้ชมมีตัวเลือกนับร้อยอยู่เพียงปลายนิ้ว สูตร “นักแสดงดัง = ซีรีส์ฮิต” จึงหมดอายุลงแล้ว อนาคตของซีรีส์เกาหลีจะเป็นของผลงานที่กล้านำเสนอสิ่งใหม่ ท้าทายความคิด และเข้าถึงอารมณ์ผู้ชมได้อย่างแท้จริง

ซีรีส์เกาหลียังคงสามารถดำรงอยู่ได้แม้ไม่มี Netflix — แต่คงไม่รุ่งเรืองเช่นเดิม เพราะแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เพียงขยายขอบเขตการเข้าถึง แต่ยัง นิยามความหมายใหม่ของคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ในยุคสตรีมมิง นั่นคือ การเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก การสร้างกระแส และอิสระในการเล่าเรื่อง
สิ่งที่เคยถูกมองว่า “Netflix กำลังช่วยชีวิต ซีรีส์เกาหลีหรือไม่” จึงไม่ใช่คำเปรียบเปรยอีกต่อไป แต่กลายเป็น ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งกำลังหล่อหลอมอนาคตของวงการบันเทิงเกาหลีทั้งหมด
ที่มา: Kenh14, tvN, SBS, Netflix, JTBC, Prime Video, Disney+
