ซีรีส์อุ่นหัวใจ คลายความหนาวตั้งแต่ต้นปี
เรื่องราวของ คังจียุน (รับบทโดย ฮันจีมิน) CEOสาวดาวรุ่งสุดเป๊ะแห่งบริษัทเฮดฮันเตอร์ที่จริงจังกับงานจนลืมดูแลตัวเอง กับเลขาคนใหม่และคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ยูอึนโฮ (รับบทโดย อีจุนฮยอก) ที่มีบทบาทสองด้านในชีวิต ด้านนึงเป็นเลขาคนเก่ง เป็นที่พึ่งให้แก่คนในที่ทำงานและพอกลับบ้านก็กลายเป็นคุณพ่อแสนอบอุ่นของลูกสาวเพียงคนเดียว จากการดูแลที่เริ่มต้นด้วยความหวังดีแบบเจ้านายลูกน้อง กลับค่อยๆ ขยับไปเป็นความอบอุ่นที่ยากจะต้านทาน
เสน่ห์ของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ซีรีส์โรแมนติกทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตของคนวัยทำงานที่ทั้งสมจริงและพบเจอได้ทั่วไป คนทำงานที่ต่างต้องเผชิญทั้งความกดดัน ความคาดหวัง และความท้าทายในทุกมิติไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ทุกตัวละครถูกสร้างมาอย่างเรียล มีมิติ ไม่เติมสีจนเว่อร์เกินไป และไม่จืดชืดจนหมดเสน่ห์ ทุกตัวละครสะท้อนความเป็นมนุษย์ในแบบที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้
เฮดฮันเตอร์: สงครามในโลกการทำงาน
ซีรีส์พาเราไปค้นเบื้องหลังงานในโลกของ เฮดฮันเตอร์ วิธีที่หลายองค์กรชั้นนำนิยมใช้ดึงคนเก่งมาร่วมงานกลายเป็นเวทีการแข่งขันที่ดุเดือด ทั้งการชิงตัวคนเก่ง การต่อสู้ของ HR ที่บ่อยครั้งไม่ได้จบแค่เรื่องตัวเงิน แต่คือคุณค่าของการทำงานและความหมายที่เหล่าคนมีฝีมืออยากจะสร้างให้กับองค์กรเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หลายองค์กรอาจมองข้ามไป เรื่องนี้ทำให้เห็นมุมมองใหม่ของอาชีพเฮดฮันเตอร์ และไฟของคนทำงานไว้อย่างไม่น่าเบื่อ
เมื่อชีวิตไม่ work life balance
อีกด้านของเรื่องราวคือมุมมองของเจ้านายสาวที่มุ่งมั่นในงานจนลืมชีวิตส่วนตัว ซีรีส์ถ่ายทอดผลกระทบจากการทุ่มเทกับงานมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความโดดเดี่ยว ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เลือนหายจากคนรอบข้าง ไปจนถึงอาการเครียดที่ส่งผลให้ร่างกายรวนไปหมด สะท้อนถึงชีวิตคนยุคใหม่ที่มักวางงานไว้เหนือสิ่งอื่นใด และยึดถึงเอาความสำเร็จไว้สำคัญไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม ขณะที่เลขายูเคยผ่านประสบการณ์นี้เหมือนกัน แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับลูกสาวในวันที่เธอต้องการ แม้ว่าจะส่งผลต่อประวัติการทำงานของเขา แต่สิ่งที่ได้มานั้นคุ้มค่ามากกว่า เพราะองค์กรสามารถหาคนมาทดแทนฟันเฟืองเล็กๆอย่างคนทำงานได้เสมอ แต่สำหรับครอบครัวนั้นไม่มีใครแทนที่ใครได้
ชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงกดดันของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว
ซีรีส์ยังเล่าถึงความลำบากของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ไม่ใช่แค่การจัดการเวลา แต่ยังต้องเผชิญกับความคาดหวังที่บางครั้งเกินจริง กลายเป็นแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา การดูแลลูกเพียงลำพังจึงไม่ใช่แค่การเลี้ยงดู แต่ยังต้องสร้างเกราะป้องกันให้เด็กคนนั้นเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ไม่รู้สึกขาดหายหรือบกพร่องส่วนใด ในขณะที่ตัวเองก็ต้องอดทนและพิสูจน์คุณค่าของการเป็นพ่อหรือแม่ที่ดีไปพร้อมๆ กัน แม้จะยากลำบาก แต่ซีรีส์แสดงให้เห็นว่าการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและครอบครัวนั้นเป็นไปได้ เพียงแค่ต้องอาศัยความรักและความเสียสละมากสักหน่อยของคนๆนั้นเพื่อจะบาลานซ์ทั้งสองสิ่ง โดยเฉพาะพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกเข้าอกเข้าใจและนับถือบรรดาพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวมากขึ้นด้วย
อบอุ่นทุกตอน โรแมนติกทุกมิติ
ซีรีส์ไม่ได้กดดันหรือยัดเยียดประเด็นหนักๆ ให้ผู้ชมมากนัก แต่กลับมอบความอบอุ่นใจในทุกฉาก ทั้งพาร์ทการทำงานที่สร้างแรงบันดาลใจ และพาร์ทความโรแมนติกที่ไม่พยายาม “ขายฝัน” เกินจริง ทุกฉาก ทุกความสัมพันธ์ ถูกออกแบบให้ผู้ชมอมยิ้มไปกับโมเมนต์เล็กๆ แต่ใจเต้นแรง และเคมีของสองนักแสดงนำที่ถ่ายทอดออกมาทำให้ทุกการสบตา ทุกบทสนทนา อบอวลไปด้วยความรักที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น
ชวนให้ใจสั่นในทุกตอน
แม้เรื่องราวดราม่าจะส่อแววเข้มข้นขึ้นในช่วงครึ่งหลัง แต่ซีรีส์น่าจะยังคงรักษามู้ดโทนไม่ให้เครียดจนเกินไปและยังคงความหวานละมุนในความสัมพันธ์ไว้ เมื่อถึงเวลาที่ตัวละครทั้งสองค่อยๆ เผยความในใจต่อกันแล้ว คงเป็นช่วงเวลาที่คนดูจะรู้สึกทั้งอินและฟิน ยิ่งตกหลุมรักพวกเขากันมากขึ้นแน่นอน
Love Scout เลยไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่เล่าเรื่องความรักอย่างเดียว แต่ยังพาผู้ชมไปรู้จักคุณค่าของการทำงาน และการค้นหาความสมดุลในชีวิต รวมถึงกำลังใจดีๆเติมไฟให้คนทำงาน
มาติดตามเรื่องราวที่จะทำให้คุณหัวเราะ อมยิ้มและอบอุ่นหัวใจได้
ทุกคืนศุกร์-เสาร์ เวลา 22.00 น. ทาง Netflix